top of page

An Interview with the Perfumer: In creation of Vanda, Cattleya, & Rosewood



สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้แอดมินขอโพสต์บทสัมภาษณ์ที่แอดมินมีโอกาสได้ไปคุยกับ Perfumer มาเกี่ยวกับผลงานชิ้นล่าสุด Vanda, Cattleya, & Rosewood น้ำหอมที่มี Main note เป็นกลิ่นของกล้วยไม้ที่กำลังจะวางขายอย่างเป็นทางการแล้วนะคะ


สำหรับข้อมูลโดยละเอียดของกลิ่นนี้แอดมินกำลังเร่งรวบรวมเพื่อนำมาลงให้อีกทีนะคะ



ติดตามอ่านบทสัมภาษณ์ได้ด้านล่างเลยค่ะ







Admin: หลังจากที่แอดมินได้ดม Vanda, Cattleya, & Rosewood รู้สึกว่ามันเป็นกลิ่นที่หอมหรูหราโรแมนติกมากแต่ก็ยังมีความเข้าถึงได้ง่ายที่กลิ่นสามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้ง่าย อยากทราบว่าอะไรคือเบื้องหลังหรือเป็นแรงบันดาลใจให้ Perfumer ทำกลิ่นนี้ขึ้นมาคะ


Perufmer: เป็นเวลานานแล้วที่เราอยากทำกลิ่นที่มีความเป็น Flowers of the Valley หรือดอกไม้ที่ผลิดอกเบ่งบานในป่าฝนเขตร้อน ดอกไม้ป่าที่มีกลิ่นหอมอันเป็นสัญลักษณ์ของ Tropical forest ในที่นี่กล้วยไม้ถือเป็นดอกไม้ที่ตอบโจทย์นี้ของเราที่สุดแล้ว


เรามองว่ากล้วยไม้คือเอกลักษณ์ของความหรูหรางดงามของธรรมชาติเขตร้อนค่ะ


โดยเราอยากสื่อสารถ่ายทอดกลิ่นออกมาในความรู้สึกของการได้เดินเข้าไปในป่า ได้สัมผัสกับไอละอองน้ำธรรมชาติและความเย็นชื่นของหุบเขา และแล้วก็...ได้กลิ่นหอมของดอกไม้สีสวยแปลกตาที่ผลิบานออกมาจากซอกหิน มันคือกล้วยไม้ที่ทำให้คนเดินป่าต้องหยุดนิ่งและชะงักไปชั่วขณะ และสัมผัสกลิ่นหอมที่คล้ายดั่งต้องมนต์ ...เราอยากทำงานชิ้นนี้ให้ออกมามีโทนแบบนั้น




Admin: อยากให้ Perfumer เล่าถึงโทนของ Top note, Main note เป็นกลิ่นของอะไรบ้างคะ


Perufmer: กลิ่นนี้เราดีไซน์ให้เปิด Top note มาเป็นโทนของความน่าหลงใหลดึงดูด คล้ายๆกับตกอยู่ในภวังค์ก่อนจะตามมาด้วยความผ่อนคลายที่คล้ายกับความรู้สึกเงียบสงบยามเราได้เดินเข้าไปในหุบเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้และไอละอองน้ำ


ที่เราว่าน่าสนใจและเราชอบที่สุดคือช่วงสเปร์ยแรก กลิ่นจะเป็นอะไรที่ดึงดูดให้เรารู้สึกเหมือนต้องมนต์ และตามมาด้วยความปลอบประโลมผ่อนคลายในทันที โดยเราเลือกใช้ความหอมแนว spicy ที่บอบบาง กลิ่นจางๆของไม้ Rosewood เป็นตัวเปิด ซึ่งเรียกร้องความน่าสนใจต่อผู้ดมโดยไม่จำเป็นต้องเป็นกลิ่นที่แหลมหรือฉุนเลยค่ะ


สำหรับMain note หรือแก่นตัวตนของน้ำหอมเราทำออกมาเป็นแนว Floral woody musky ของกลิ่นกล้วยไม้ธรรมชาติ เป็นความ Fasinating ที่น่าหลงใหลชวนให้ดมต่อ





Admin: แอดมินไม่ค่อยรู้จักกล้วยไม้เท่าไร ความคิดแรกคือกล้วยไม้มีกลิ่นด้วยหรือ เพราะเท่าที่เคยดมไม่เคยได้กลิ่นดอกกล้วยไม้จริงๆเลยค่ะ


Perufmer: กล้วยไม้ไทยนี่หอมเยอะนะคะอย่างสายพันธุ์แคทลียา แวนด้า หรือกล้วยไม้สกุลไอยเรศหรือกล้วยไม้ช้างกลิ่นจะหอมฟุ้งมาก


จริงๆเราเลี้ยงกล้วยไม้สะสมเองไว้ดูเล่นอยู่บ้าง (ยิ้ม) มีหลายแบบเลย ความสุขของเราอย่างนึงคือการใช้เวลาอยู่กับกล้วยไม้ ยิ่งอยู่กับมันยิ่งดมบ่อย เราจะพบว่าความหลากหลายของกลิ่นกล้วยไม้มีมาก ของเรามี Maxillaria tenuifolia ด้วยซึ่งให้กลิ่นเหมือนเค้กมะพร้าวที่พึ่งอบสดใหม่จากเตา หอมมาก และที่เรามีและชอบอีกคือกล้วยไม้ Vanda merrillii ที่หอมในช่วงสายๆให้กลิ่นคล้ายๆกระดังงาไทยผสมกับกุหลาบและดอกไม้ขาว หรืออย่าง Vanda falcata ดอกสีขาวเล็กๆ บางคนเรียกว่าเข็มญี่ปุ่น ที่หอมเฉพาะกลางคืนซึ่งให้กลิ่นนวลๆคล้ายดอกพุดซ้อนผสมดอกสายน้ำผึ้ง


เรามองว่ากล้วยไม้น่าจะเป็นดอกไม้ที่สะท้อนความเป็นไทยได้อย่างหรูหราที่สุดเพราะเมืองไทยมีอากาศที่ปลูกกล้วยไม้ได้งามและหลายชนิดมาก คือเอาไปปลูกที่อื่นก็ไม่หอมเหมือนกล้วยไม้ไทย ฝรั่งหลายคนมองกล้วยไม้เป็นของ exotic หรูหราราคาแพง


ความจริงแล้วกล้วยไม้สายพันธุ์แคทลียาสีต่างๆจะมีกลิ่นหอมแทบทุกชนิด หรือกล้วยไม้ช้าง กล้วยไม้แวนด้าก็มีกลิ่นหอมหลากหลายกลิ่นมากค่ะ คือดมแล้วบางดอกจะให้กลิ่นในรูปแบบต่างกันไป มีตั้งแต่กลิ่น Citrus, spicy, white floral, cinnamon, sweet clover, coconut, butter, roses, หรือแม้ไปสุดที่ indolic คือกลิ่นเฉาปนช้ำก็มี

ซึ่งความน่าสนใจของกล้วยไม้คือความหลากหลายของสายพันธุ์ที่ใหญ่มากทำให้กลิ่นมีความหลากหลายเยอะมาก แต่ละโทนของกลิ่นนั้นสามารถเอามาเป็นแรงบันดาลใจหรือเป็นกลิ่นเริ่มต้นในการทำน้ำหอมได้หมดเลยค่ะ




Admin: อยากให้ Perfumer ช่วยเล่าถึงที่มาของการเลือกใช้กล้วยไม้สายพันธุ์ Vanda, Cattleya เป็นตัวแทนของกลิ่นกล้วยไม้ค่ะ


Perufmer: จริงๆเราอยู่กับกล้วยไม้มานานแล้ว มันคือความสุขของเรา บางพันธุ์เราก็เลี้ยงไว้เอง


เราเป็นคนชอบในกลิ่นของกล้วยไม้ไทย หากมีเวลาซึ่งจริงๆไม่ค่อยมีเท่าไร (หัวเราะ) เราสามารถใช้เวลาได้ทั้งวันในการดมกลิ่นดอกกล้วยไม้แล้วก็เหมือนทุกอย่างรอบตัวหยุดหมด เหมือนตกลงไปอยู่ในโลกของกลิ่นที่งดงามตรงนั้น กล้วยไม้ที่มีอิทธิพลในการสร้างผลงานของเราและทำให้เราอยากลุกขึ้นมาทำกลิ่นคือสายพันธุ์ Vanda กับ Cattleya ซึ่งในซีรีย์ของแคทลียาและแวนด้านั้นถ้าสีดอกต่างกันกลิ่นก็จะต่างกันไปด้วย เป็นเวลายาวนานมากแล้วที่เราอยากทำกลิ่นกล้วยไม้ที่เป็นโทนที่เราชอบจริงๆ คือจะต้องมีความหอมหวานซับซ้อนในเนื้อกลิ่น กลิ่นจะต้องมีชั้นเชิงค่อยๆเปิดแง้มออกมาทีละชั้นทีละชั้น ต้องประกอบด้วยกลิ่นบางอย่างซ่อนตัวอยู่ในกลิ่นและซ่อนอยู่ในกลิ่นอีกทีอยู่หลายชั้น เหมือนกลีบดอกที่ค่อยๆแกะตัวออกมาทีละกลีบและค่อยๆแบ่งบานออกมา และที่สำคัญคือต้องมีความเป็นเนื้อไม้คือ Woody tone มีความนุ่มนวลแบบ Musk มีความ Creamy และแฝงด้วยกลิ่นไอของความ Spicy อยู่ในกลิ่นด้วย นี่คือกล้วยไม้ในอุดมคติของเรา



Admin: Perfumer มีวิธีในการสกัดกลิ่นดอกกล้วยไม้ยังไงบ้างคะ เพราะดมแล้วรุ้สึกกลิ่นละมุนแบบดอกไม้ธรรมชาติมาก หรือมีวิธีในการเก็บกักกลิ่นกล้วยไม้อย่างไรให้มาอยู่ในน้ำหอมคะ?



Perufmer: เป็นเรื่องยากมากที่จะนำกล้วยไม้ตามธรรมชาติมาสกัดกลิ่น สิ่งที่เราทำได้คือพยายามเลียนแบบสร้างกลิ่นกล้วยไม้ขึ้นมาจากทักษะการปรุงน้ำหอม ซึ่งเราพยายามที่จะสร้างกลิ่นจากสารที่มีอยู่ในกล้วยไม้ธรรมชาติ

ความจริงคือกล้วยไม้หรือดอกไม้ทุกชนิดตามธรรมชาติจะมีกลิ่นหอมที่ปล่อยกลิ่นพร้อมกันออกมาในคราวเดียว คือสมมุติเราดมดอกไม้ครั้งแรก หรือจะดมในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อๆมากลิ่นมันก็ยังเป็นแบบเดิม แต่ในโลกหรือในวิธีของน้ำหอมจะไม่ใช่แบบนั้น น้ำหอมจะค่อยๆปล่อยกลิ่นออกมาเป็น Layer เป็นชั้นๆ เช่นแรกดมกลิ่นเป็นแบบนึง หนึ่งชั่วโมงผ่านไปกลิ่นเป็นอีกแบบ แปดชั่วโมงกลิ่นเป็นอีกแบบ อย่างที่เราทราบกันว่าน้ำหอมจะมีโน๊ต คือ top note ซึ่งกลิ่นจะระเหยและจางหายไปไวที่สุด main note หรือแก่นของกลิ่น และ base note คือสิ่งที่เป็นฐานของน้ำหอมหรือกลิ่นติดผิวตอนท้าย ซึ่งเป็นงานที่ค่อนข้างละเอียดท้าทายในการพยายามทำกลิ่นให้เป็นธรรมชาติของดอกไม้ให้มากที่สุดในวิถีแห่งน้ำหอม


จริงๆแล้วการปรุงกลิ่นกล้วยไม้เสน่ห์ของมันคือการใส่จินตาการ ใส่แฟนตาซีของนักปรุงลงไปมากกว่า ประหนึ่งว่าการปรุงกลิ่นน้ำหอมคืองานศิลปะชั้นสูงที่ต้องใช้จินตนาการร่วมกับประสบการณ์ (หัวเราะ) ที่เราต้องเลือกสารทั้งธรรมชาติและสารสังเคราะห์มาเลียนแบบกลิ่นกล้วยไม้






Admin: อะไรคือองค์ประกอบหรือวัตถุดิบทั้งหมดที่ Perfumer เลือกใช้ในการทำกลิ่นกล้วยไม้บ้างคะ?


Perufmer: สูตรหรือวัตถุดิบทั้งหมดคงเป็นความลับต่อไปที่นำมาคุยไม่ได้นะคะ (หัวเราะ)

คือเวลาที่เราอยากสร้างกลิ่นกล้วยไม้ เราต้องดมให้หลากหลายและก็ต้องใช้เวลาในการค้นคว้าด้วยข้อมูลทาง Gas chromatography (GC) analyses ของกลิ่นกล้วยไม้แต่ละสายพันธุ์ และพยายามมองหาโมเลกุลของกลิ่นที่เป็นคุณลักษณะร่วมของกลิ่นที่กล้วยไม้สายพันธุ์ต่างๆมี ตรงนั้นจะทำให้เราเห็นว่าเราควรจะใช้สารธรรมชาติหรือสารสังเคราะห์ตัวไหนมาขึ้นเป็น Accord (โครงกลิ่นเบื้องต้น) แล้วเราค่อยเติมลูกเล่นหรือพัฒนาต่อจากตรงนั้น ซึ่งตรงพัฒนาต่อนี่ถือเป็นศิลปะ ตรงนี้คืองานส่วนของการจินตนาการ เป็นมโนหรือแฟนตาซีของนักทำน้ำหอม การดมแล้วดมอีกจนกว่าจะเจอกลิ่นสุดท้ายที่ถูกใจ (ยิ้ม) แล้วต้องอาศัยประสบการณ์ด้วยว่ากลิ่นที่เราถูกใจนั้นมันใช้เป็นน้ำหอมจริงๆบนตัวคนได้ไหมอีกด้วย มันจะเป็นน้ำหอมที่ดีไหม อัตราการระเหยเป็นยังไง ซึ่งการจะทำกลิ่นพวกนี้ต้องทำพลาดมาเยอะถึงจะเจอสิ่งที่ถูกต้อง



ยกตัวอย่างเช่นจากข้อมูลทาง GC เราพบว่าแคทลียาจะมีกลิ่นของ Musk อยู่ในดอก เวลาขึ้นงานเราจึงต้องใช้โมเลกุลของ Musk บางตัวมาทำเช่น 16-Hexadecanolide (Dihydro Ambrettolide) and Hexade-7-en-16-olide (Ambrettolide) เพื่อจะเลียนแบบกลิ่นแคทลียาให้ได้ตามธรรมชาติมากสุด


หรือเรารู้ว่า Salicylates เป็นสารที่มีอยู่ในกล้วยไม้หอมแทบจะทุกสายพันธุ์ เวลาเราขึ้นกลิ่นเราก็เลือกใช้ amyl salicylate ซึ่งมันก็ช่วยในเรื่องการฟุ้งกระจายให้สารอื่นๆด้วย อันนี้คือพื้นฐาน คือโครงร่างกลิ่น คราวนี้จะปรุงต่อกันอย่างไรก็ขึ้นกับ Perfumer แล้วว่าจะแต่งแต้มสีสันแฟนตาซีให้กล้วยไม้ของคุณยังไง เช่นเราอาจแต่งแต้มด้วย Phenyl Ethyl Alcohol ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่ทำให้ดอกไม้มีกลิ่นคล้ายกุหลาบที่ยังไม่บาน, Geraniol, Linalool หรือการใส่ Muguet aromatics ลงไปให้ความรู้สึกสวยๆตามแบบของแบรนด์ Prung Flower Water เติมความเป็น indole หรือกลิ่นความช้ำตามธรรมชาติลงไปนิดหน่อยให้ดอกไม้มีความสมจริงและมีความเป็นกลิ่นดอกไม้ตามธรรมชาติจริงๆที่จะอมความช้ำนิดๆ นอกจากนี้น้ำมันหอมระเหยตามธรรมชาติเช่น Clove, Allspice, Cinnamon, Ylang Ylang, Jasmine ก็ใช้ในการเติมแต่งสีสันให้กลิ่น จะเห็นว่ามันเป็นเรื่องการรังสรรค์โดยใช้จินตนาการอยู่มากทีเดียวค่ะ



Admin: ความพิเศษหรือจุดเด่นของน้ำหอมกลิ่นนี้เลยอยู่ที่ตรงไหน?


Perufmer: คือเป็นเวลานานมากแล้วที่เราอยากทำกลิ่นกล้วยไม้ธรรมชาติออกมา

แต่ทุกครั้งที่ทำออกมาก่อนหน้านี้ก็เหมือนมีบางอย่างขาดหายไปตลอด กลิ่นไม่เคยเสร็จสมบูรณ์ในความรู้สึกของเรา จนวันที่เรามาเจอกับน้ำมันหอมระเหยของ Rosewood ที่หยดลงไปบนกลิ่นไอของแคทลียาและแวนด้า นั่นคือจุดสิ้นสุด คือกลิ่นสุดท้ายที่เสร็จออกมาได้อย่างงดงาม ลงตัว


ความพิเศษหรือจุดเด่นของกลิ่นนี้จึงอยู่ที่การเอากลิ่นกล้วยไม้มาผสมเข้ากับกลิ่นซับซ้อนของ Rosewood หรือ Bois de Rose คือมันลงตัวใช่เลย มันคือชิ้นส่วนของกลิ่นที่ขาดหายไปที่เราหามานาน




Admin: Rosewood น้องคือต้นกุหลาบหรือคะ


Perufmer: ไม่ใช่ค่ะ ไม่เกี่ยวกับกุหลาบเลย (ยิ้ม) Rosewood นักปรุงน้ำหอมจะเรียกว่า Bois de Rose เป็นไม้เนื้อแข็งอย่างนึงที่แก่นของไม้มีสีชมพูอมแดงดูคล้ายสีของกุหลาบ เป็นไม้หอมที่สามารถนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยที่มีสาร linalool คือสารที่มีกลิ่นหอมชนิดหนึ่ง ให้กลิ่นซับซ้อนกว่า linalool เพียวๆ ถ้าจะให้เห็นภาพคือ Rosewood กลิ่นจะคล้ายๆ Coriander (เมล็ดผักชี) ที่ผสมอยู่ใน Lavender จะออกความ spicy กลิ่นค่อนข้าง sharp ในสไตล์ของ Lavender ที่มี Citrus ผสมลงไปนิดนึง


จะว่าไปแล้วผลงานชิ้นก่อนๆของเราจะไม่ค่อยมี Rosewood เท่าไรค่ะ



Admin: มาในส่วนของ Flower Water ที่ Perfumer เลือกใช้ กลิ่นนี้เลือกใช้เป็นอะไรบ้างคะ?


Perufmer: เราเลือก Flower Water มาใช้เพื่อลดปริมาณแอลกอฮอร์ในการทำน้ำหอมลง ทำให้กลิ่นมันจางละมุนบอบบาง ไม่บาดจมูกตาม Concept ของแบรนด์ Prung Flower Water สำหรับน้ำหอมกลิ่นนี้เราเลือกใช้ Rose water อีกเช่นเคยและเสริมด้วย Flower Water ที่สกัดมาจากดอกไม้ไทยเช่นดอกจำปา มะลิ เป็นต้นค่ะ





Admin: สุดท้ายนี้ Perfumer แนะนำ Vanda, Cattleya, & Rosewood สำหรับใครคะ ใครที่น่าจะชอบกลิ่นนี้แน่นอน


Perufmer: แนะนำสำหรับคนที่มองหาน้ำหอมที่มีความเป็น Feminine สูง โทนกลิ่นแนวที่ใช้แล้วรู้สึกโรแมนติก รู้สึกงดงามและให้ความรู้สึกผ่อนคลาย นวลละมุน ไม่หวานแหลม ไม่บาดจมูก คงความสุภาพที่เหมาะจะใช้ได้ในทุกโอกาสค่ะ


ฝากติดตามผลงานที่เราตั้งใจทำมากๆตัวนี้ด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ







bottom of page